สภาพผิวที่มีรูขุมขนกว้าง มักจะไม่เป็นที่ต้องการของสาว ๆ ไม่ว่าคนไหน เพราะนอกจากจะทำให้ดูผิวหน้าไม่ละเอียดใสกิ๊งแล้ว สาว ๆ ที่มีรูขุมขนกว้างยังเสี่ยงต่อการเป็นสิวอุดตัน หัวดำ หัวขาว มากกว่าสภาพผิวประเภทอื่นเสียอีก วันนี้กระปุกดอทคอม ก็เลยสรรหาเคล็ดไม่ลับในการพิชิตปัญหารูขุมขนกว้างมาฝากกัน ซึ่งให้ความสำคัญทุกขั้นตอนการดูแลผิวเลยทีเดียวล่ะ ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลยดีกว่า
1. การทำความสะอาดผิว สาว ๆ ที่มีผิวหน้ารูขุมขนกว้างควรล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น ตามด้วยน้ำเย็นจัด ซึ่งน้ำอุ่นจะช่วยเปิดรูขุมขน ให้สิ่งสกปรกหลุดออกมา ส่วนน้ำเย็นจะช่วยกระชับผิวหลังจากล้างหน้า และเมื่อไม่มีสิ่งอุดตันใด ๆ ในรูขุมขนแล้ว ผิวก็จะใสไร้สิวเลยล่ะค่ะ
2. อย่าล้างหน้าบ่อย แม้ว่าการล้างหน้าจะเป็นวิธีทำความสะอาดรูขุมขนและผิวหน้า ให้ห่างไกลจากปัญหาผิวต่าง ๆ แต่หากสาว ๆ ล้างหน้าบ่อยเกินไป ผิวหน้าก็จะผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น และอาจจะยิ่งมีปัญหาผิวเพิ่มขึ้นอีกด้วยค่ะ
3. โทนเนอร์ ควรใช้โทนเนอร์ทำความสะอาดผิวอีกครั้งหลังล้างหน้า และเป็นการเตรียมผิวหน้าสู่ขั้นตอนการปรนนิบัติผิวอีกด้วย ซึ่งโทนเนอร์นี้จะช่วยให้ผิวหน้าสะอาด และแน่นอนว่า เมื่อไม่มีสิ่งอุดตันในรูขุมขนแล้ว หน้าก็จะใส และผิวดูกระชับขึ้น
4. พยายามดูแลเรื่องความมันบนใบหน้า เพราะความมันนี่แหละเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้รูขุมขนกว้างนั่นเอง ดังนั้น สาว ๆ ควรดูแลเรื่องนี้ให้มาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นการพอกหน้า การใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทออยล์ฟรี อย่าให้ขาดเลยค่ะ
5. ปกป้องผิว อย่าลืมปกป้องผิวด้วยครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกแดด เพราะแสงแดดและความร้อนจะทำให้ใบหน้าหมองคล้ำ ผิวเสียความชุ่มชื้น และหน้าอาจจะมันมากขึ้นด้วย
6. น้ำแข็ง ก่อนนอนหรือกลับไปบ้านตอนเย็น ลองใช้น้ำแข็งสะอาดมาประคบบริเวณใบหน้าสัปดาห์ละ 2-3 วัน ทำบ่อย ๆ ก็จะช่วยกระชับรูขุมขนได้ อ๊ะ ๆ แต่ก่อนเอาน้ำแข็งประคบ อย่าลืมล้างหน้าให้สะอาดก่อนนะจ๊ะ
7. พอกหน้าด้วยไข่ขาว ไข่ขาวมีส่วนช่วยกระชับรูขุมขนของสาว ๆ อย่างได้ผล แต่มีข้อแม้ว่าต้องทำต่อเนื่องกันอย่าเว้น ซึ่งนอกจากจะช่วยกระชับรูขุมขนแล้ว ไข่ขาวยังทำให้ใบหน้านุ่มนวลอีกด้วย
คราวนี้ สาว ๆ ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง ก็ลองเอาเคล็ดไม่ลับที่ว่านี้ไปปฏิบัติให้ครบถ้วนกันดูนะคะ แต่อย่าเพิ่งท้อตั้งแต่เดือนแรก ๆ ที่เริ่มทำก่อนล่ะ เพราะของแบบนี้ต้องใช้เวลาสักหน่อยถึงจะเห็นผล
ขอบคุณข้อมูลจาก women.kapook
http://www.siambodycare.com/daily-gluta-premium-set?acc=3295c76acbf4caaed33c36b1b5fc2cb1&bannerid=5
Beauty Healthy 4U
สาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพและความงาม
วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555
วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555
สร้างสมดุลชีวิตด้วยดนตรีบำบัด
เริ่มต้นบทความด้วยเพลงบรรเลงฟังสบายก่อนนอน คลิ๊กเลย
Spa Music Relaxation With Piano Long Time Mix by Spavevo
สร้างสมดุลชีวิตด้วยดนตรีบำบัด (Health plus)
แม้จะมีเพียงเสียงเพลงลอยมาให้ได้ยิน แต่ก็ทำให้เรามีอารมณ์ร่วมได้ไม่น้อย ที่เป็นเช่นนี้เพราะดนตรีส่งผลต่อร่างกายและจิตใจ รวมถึงการทำงานของสมองของเรานั่นเองค่ะ
มีข้อพิสูจน์จากผลการวิจัยหลายเรื่องที่แสดงว่า ดนตรีส่งผลต่อร่างกาย โดยสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอัตราการหายใจ อัตราการเต้นของชีพจร ความดันโลหิต การตอบสนองของม่านตา ความตึงตัวของกล้ามเนื้อ และการไหลเวียนโลหิต ขณะเดียวกันก็ส่งผลต่อจิตใจและสมอง คือ สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ สติสัมปชัญญะ จินตนาการ การรับรู้สภาพความเป็นจริง
ด้วยเหตุนี้นอกจากเราจะใช้ประโยชน์จากดนตรีเพื่อความสุนทรีย์แล้ว ปัจจุบันมีการนำดนตรีมาใช้ประโยชน์ เพื่อการฟื้นฟูเยียวยาจิตใจของผู้ป่วยและคนทั่วไปมากขึ้น ในศาสตร์ของ ดนตรีบำบัด เพราะพบว่าดนตรีใช้ได้ผลดียิ่งกับโรคทางกายและทางจิตเวช
ประโยชน์ของดนตรีบำบัด
ดนตรีบำบัดสามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลายรูปแบบ ใช้ได้ทั้งในวัยเด็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ เพื่อสนองตอบความจำเป็นที่แตกต่างกันไป ทั้งทางร่างกายและจิตใจ เช่น ปัญหาพัฒนาการบกพร่อง โรคซึมเศร้า โรคอัลไซเมอร์ ปัญหาการบาดเจ็บทางสมอง ความพิการทางกาย อาการเจ็บปวด หรือสำหรับคนปกติทั่วไป ก็สามารถใช้ประโยชน์จากดนตรีบำบัดเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด หรือเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ได้เช่นเดียวกัน
ดนตรีบำบัดช่วยได้
ปรับสภาพจิตใจให้สมดุล
ผ่อนคลายความตึงเครียด ลดความวิตกกังวล
กระตุ้น เสริมสร้าง และพัฒนาทักษะการเรียนรู้ และเสริมสร้างความจำ
กระตุ้นประสาทสัมผัส
เสริมสร้างสมาธิ
พัฒนาทักษะทางสังคม
พัฒนาทักษะการสื่อสารและการใช้ภาษา
พัฒนาทักษะการเคลื่อนไหว
ลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อ
ลดอาการเจ็บปวดจากสาเหตุต่าง ๆ
ปรับลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
สร้างสัมพันธภาพที่ดีในการบำบัดรักษาต่าง ๆ
ช่วยเสริมสร้างในกระบวนการบำบัดทางจิตเวช ทั้งในการประเมินความรู้สึก สร้างเสริมอารมณ์เชิงบวก การควบคุมตนเอง การแก้ปมขัดแย้งต่าง ๆ
ขอบคุณเพลงเพราะจาก Youtube
ขอบคุณบทความจาก health.kapook
วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555
เหตุผลที่ควรหลีกเลี่ยง น้ำตาลทราย
คำกล่าวที่ว่า หวานเป็นลม ขมเป็นยา ยังคงเป็นความจริง เพราะแม้น้ำตาล จะให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ก็มีผลเสียต่อสุขภาพ เป็นของแถมตามมาอีกหลายโรค ลองดูเหตุผลต่อไปนี้ ก่อนกินน้ำตาลคราวต่อไป
1.
| เมื่อเรากินน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยว (น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลในนม) น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายเกิดภาวะไม่สมดุล จึงมีการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่างๆ ภายในร่างกายมาแก้ไขความไม่สมดุล | |
2.
| ทำให้เกิดไขมันสะสม น้ำตาลจะถูกเก็บไว้ที่ตับ ในรูปของไกลโคเจน แต่ถ้ามีมากจนเกินไป ตับก็จะส่งไปยังกระแสเลือด และเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โดยจะสะสมไว้ในส่วนของร่างกาย ที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ก้น ขาอ่อน หน้าท้อง | |
3.
| หากยังคงรับประทานน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันจะสะสมไว้ที่อวัยวะภายในอื่นๆ เช่น หัวใจ ตับ และไต ดังนั้น อวัยวะเหล่านี้จะค่อยๆ ถูกห่อหุ้มด้วยไขมันและน้ำเมือก ร่างกายจะเริ่มผิดปกติ ความดันเลือดจะสูงขึ้น | |
4.
| การรับประทานน้ำตาลมากเกินไป มีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้รู้สึกง่วงหงาวหาวนอน | |
5.
| อาการปวดศีรษะเรื้อรัง เป็นตะคริวเวลามีรอบเดือน เป็นสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวาร ไมเกรน เบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ มะเร็งตับ เหล่านี้ล้วนสัมพันธ์ กับการรับประทานน้ำตาลมากเกินไป | |
6.
| น้ำตาลทำให้อาการของโรคติดเชื้อที่เป็นอยุ่ ทวีความรุนแรงขึ้น เพราะเชื้อโรคทุกชนิดใช้น้ำตาลเป็นอาหาร | |
7.
| น้ำตาลนอกจากจะมีผลต่อผู้ใหญ่แล้ว ยังมีผลต่อเด็กอีกด้วย เพราะถ้าหากเด็กกินน้ำตาล ในปริมาณที่มากจนเกินไป จะทำให้เด็กเป็นโรคกระดูกเปราะ และฟันผุได้ และอาจเป็นคนโกรธง่าย ไม่มีสมาธิในสิ่งที่ทำอยู่ ขอบคุณข้อมูลจาก yourhealthyguide |
วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555
เช็ก 4 นิสัยก่อนกลายเป็นคนช่างนินทา
มาอีกแล้วค่ะ บทความเกี่ยวกับสุขภาพจิต โดยส่วนตัวแล้วชอบอ่านบทความประเภทนี้ เพราะถ้าสุขภาพจิตดี มันจะส่งผลออกมาทางหน้าตาผิวพรรณของเราค่ะ (จริงๆนะไม่ได้โกหก)
การพูดคำเท็จ ส่อเสียด นินทา ถือเป็นการผิดศีลข้อที่ 4 เรามารู้จัก 4 นิสัย พื้นฐานที่อาจทำให้คุณกลายเป็นคนช่างนินทา
1. ไม่มีความภาคภูมิใจในตัวเอง เกิดจากจิตใต้สำนึกสะสมความคิดว่า ตัวเองเป็นคนไม่ดี ไม่มีความสามารถ ทำให้ชอบจับผิดหรือพูดถึงความไม่ดีของคนอื่น
2. ขึ้ระแวง เป็นคนที่ไม่มีความเชื่อถือศรัทธาในผู้คนด้วยกันไม่เชื่อมั่นในมิตรภาพ
3. จอมโกหก คนที่ชอบพูดโกหกมีแนวโน้มว่าจะเป็นคนช่างนินทาเพราะสามารถนำเรื่องที่ไม่เป็นความจริงมาเล่าเพื่อหาผลประโยชน์หรือสร้างความสนุกให้ตัวเอง
4. มองโลกในแง่ร้าย คนที่มองโลกในแง่ร้ายจะเห็นแต่ความไม่ดีของคนอื่น คนลักษณะนี้ก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นคนช่างนินทา
คิดดี พูดดี ช่วยสร้างพลังบวกให้แก่ชีวิตและสังคมค่ะ
บทความจาก นิตยสารชีวจิต วันที่ 16-31 กรกฎาคม 2555
ปีที่ 14, ฉบับที่ 331, หน้า 20.
ขอบคุณภาพจากเนตค่ะ
การพูดคำเท็จ ส่อเสียด นินทา ถือเป็นการผิดศีลข้อที่ 4 เรามารู้จัก 4 นิสัย พื้นฐานที่อาจทำให้คุณกลายเป็นคนช่างนินทา
1. ไม่มีความภาคภูมิใจในตัวเอง เกิดจากจิตใต้สำนึกสะสมความคิดว่า ตัวเองเป็นคนไม่ดี ไม่มีความสามารถ ทำให้ชอบจับผิดหรือพูดถึงความไม่ดีของคนอื่น
2. ขึ้ระแวง เป็นคนที่ไม่มีความเชื่อถือศรัทธาในผู้คนด้วยกันไม่เชื่อมั่นในมิตรภาพ
3. จอมโกหก คนที่ชอบพูดโกหกมีแนวโน้มว่าจะเป็นคนช่างนินทาเพราะสามารถนำเรื่องที่ไม่เป็นความจริงมาเล่าเพื่อหาผลประโยชน์หรือสร้างความสนุกให้ตัวเอง
4. มองโลกในแง่ร้าย คนที่มองโลกในแง่ร้ายจะเห็นแต่ความไม่ดีของคนอื่น คนลักษณะนี้ก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นคนช่างนินทา
ปีที่ 14, ฉบับที่ 331, หน้า 20.
วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555
การใช้ชีวิต 6 ระดับ
เรื่องสุขภาพจิตกันบ้างนะคะ
เอามาฝาก ลองอ่านกันดูนะ แล้วคิดกันเล่นๆ ว่าตัวเองอยู่ในระดับไหน
1. การใช้ชีวิตตามความหวาดกลัว
คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในระดับนี้ การใช้ชีวิตในระดับนี้
การตัดสินใจในชีวิตไม่สนใจเรื่องถูกต้อง แต่สนใจในเรื่องถูกใจ
คิดแต่ความหวาดกลัว เช่น กลัวลูกน้องไม่รัก กลัวเพื่อนไม่คบ
2. การใช้ชีวิตตามกติกา
ในระดับสังคมบ้านเมือง เราใช้กติการในการดำเนินชีวิตมาก กติกาหลักๆ ที่เราใช้
มักจะเกี่ยวข้องอยู่กับ เรื่องสองสามเรื่องคือ "เงิน-เศรษฐศาสตร์"
เราจะคำนึงถึงความคุ้ม กำไรและมักใช้สิ่งนี้ เป็นเหตุผลในการตัดสินใจ "วิชา"
การตัดสินใจทำสิ่งใด อาศัยว่าได้เรียนมาอย่างไรก็ทำไปตามนั้น "กฎหมาย"
ชีวิตเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับกฎหมาย ดำเนินชีวิตไปตามกฎเกณฑ์ ที่กฎหมายกำหนดไว้
3. การใช้ชีวิตตามสำนึกที่ดี
ส่วนใหญ่แล้วเราใช้ชีวิตในระดับสำนึกที่ดี
แต่บางทีเราก็ท้อแท้ว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี เพราะเราทำดีแล้ว
เราหวังว่าเราควรจะได้อะไรตอบแทน ที่ไม่ได้ก็ผิดหวัง
แต่เมื่อเราได้พบเห็นคนที่เขาทุกข์ยาก ลำบากกว่าเรา เราเองก็อาจจะรู้สึกว่า
โชคดีเท่าไรแล้ว ที่เราได้ทำดี ได้ใช้ชีวิตที่ดี
4. การใช้ชีวิตตามความจริง
คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในระดับนี้ เป็นคนที่อยู่กับความจริงที่มันเป็นจริงๆ
คาดหวังให้ตรงกับความเป็นจริง ความจริงไม่ใช่สิ่งที่เราต้องค้นหา
เพียงแต่อย่าใส่ความไม่จริงลงไป ถ้าเราใช้ชีวิตอย่าง ไม่เข้าใจความจริง
เราก็จะใช้ชีวิตไปตามแรงจูงใจ ด้วยอุดมคติ แรงจูงใจด้วยความคาดหวัง
ซึ่งเสี่ยงต่อความพลาดผิดหวัง ท้อแท้ และเสียใจ
5. การใช้ชีวิตด้วยความว่าง
เมื่อเราเริ่มมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่มันตกลงตรงหน้าเรา
เห็นว่าสิ่งทั้งหลายมันเปลี่ยนแปลง และมีวันตาย เห็นความจริงว่า มันสุขๆ ทุกข์ๆ
เมื่อเจอความทุก เราก็สามารถเผชิญหน้ากับมันได้ คนที่ใช้ชีวิตในระดับนี้
จะทำใจได้ว่าปัญหาเป็นเรื่องปกติ เพราะเป็นธรรมชาติที่ชีวิตต้องเจอ
6. ชีวิตที่หลุดพ้น
เป็นชีวิตที่แข็งแรง ไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของความอยาก ความต้องการใดๆ
ที่เกินจำเป็น มองเห็นชีวิตตามความเป็นจริง เลือกใช้ชีวิตแต่ในสิ่งที่เป็นสาระ
*** ได้จาก หนังสือเรื่อง " แรงดลใจแห่งชีวิต " ผู้เขียนคือ คุณโสภณ สุภาพงษ์
ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า ส่วนมากเราจะใช้ชีวิตกันอยู่ที่ระดับที่ 1 - 4
ขึ้นอยู่กับว่า บุคคลนั้น ได้รับการอบรม และสั่งสมประสบการณ์ชีวิตมาอย่างไร..
5สูตรสวยด้วยมะเขือเทศ
มาต่อกันด้วยเรื่องสวยๆงามๆกันบ้างค่ะ สำหรับสาวๆที่ตามติดเทรนด์หน้าขาวใส เรามีเคล็ดไม่ลับมาฝาก ด้วยวัสดุธรรมชาติ ที่หาได้จากตู้เย็นในบ้านเรานี่ล่ะค่ะ
ลองใช้วิธีนี้ในการรักษาสิวที่เรื้อรังไม่หายขาด บดมะเขือเทศสดแล้วทาให้ทั่วใบหน้าแล้วหลับตาพักผ่อนโดยทิ้งให้มะเขือเทศอยู่บนใบหน้าประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นเกือบเย็น ใช้วิธีนี้ทุกวันเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ก็จะเห็นผล
โดยนำมะเขือเทศสดไร้สารตกค้างมาปั่นให้ละเอียด (หรือคั้นสดๆ ก็ได้ หากไม่มีเครื่องปั่นผลไม้) นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาทีล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ทำให้ใบหน้าแลดูสดใสเปล่งปลั่งขึ้นทันตา แต่สำหรับบางคนที่ไม่มีเวลาหรือขี้เกียจทำเองละก็ลองเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของมะเขือเทศมาใช้แทนก็ได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไทยโพสต์ ค่ะ
สูตรพอกหน้าด้วยมะเขือเทศ "ผิวสวย ขาวใส อย่างเป็นธรรมชาติ"
เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับที่น่าลองมาก ๆ สูตรพอกหน้าด้วยมะเขือเทศ อย่างที่รู้ ๆ กันดีว่าใบหน้าเป็นจุดเด่นที่สุดในร่างกายเพราะฉะนั้นการดูแลรักษาใบหน้าจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องที่จำเป็นและยังเป็นปัญหาที่ยุ่งอยากมาก ๆ ในการหาวิธีต่าง ๆ มาบำรุงผิวหน้า ไม่ว่าทำทรีทเมนท์ ยิงเลเซอร์ หรือว่าจะเป็นสาระพัดวิธีต่าง ๆ แต่วันนี้เรามีอีกหนึ่งวิธีทางธรรมชาติที่หาได้จากพืชพรรณใกล้ ๆ ตัวและก็มีใช้ในครัวเรือนกับ สูตรพอกหน้าด้วยมะเขือเทศ จากการสำรวจพบว่ามะเขือเทศสุกมีสาร Licopersioin ที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราและแบคทีเรียช่วยรักษาสิวได้ดี รวมถึงมีวิตามินเอซึ่งมีหน้าที่ในการสร้างผิวสุขภาพดีและยังช่วยกำจัดน้ำมันส่วนเกินออกไป งั้นวันนี้เราไปดู สูตรพอกหน้าด้วยมะเขือเทศ ที่จะช่วยให้ผิวของคุณขาวกระจ่างใสได้อย่างเป็นธรรมชาติกันเลยดีกว่าค่ะ แล้วการดูแลรักษาผิวหน้าจะไม่ใช่เรื่องอยากของคุณอีกต่อไปค่ะสูตร 1 กระชับรูขุมขนด้วยมะเขือเทศและมะนาว
ผสมน้ำมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำมะนาวสด 2-4 หยด แล้วใช้สำลีชุบน้ำมะเขือเทศกับมะนาวที่ผสมไว้บนผิวบริเวณที่ต้องการ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วใช้น้ำอุ่นเกือบเย็นล้างออกเพื่อทำให้รูขุมขนหดตัวลงและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น
สูตร 2 รักษาสิวด้วยเนื้อมะเขือเทศ
ลองใช้วิธีนี้ในการรักษาสิวที่เรื้อรังไม่หายขาด บดมะเขือเทศสดแล้วทาให้ทั่วใบหน้าแล้วหลับตาพักผ่อนโดยทิ้งให้มะเขือเทศอยู่บนใบหน้าประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นเกือบเย็น ใช้วิธีนี้ทุกวันเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ก็จะเห็นผลสูตร 3 ล้างหน้าด้วยมะเขือเทศ
หั่นมะเขือเทศออกเป็นครึ่งลูกแล้วนำมาถูให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที พยายามถูในบริเวณที่เป็นสิวหัวดำมากกว่าที่อื่น แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นเกือบเย็น ใช้วิธีนี้เมื่อต้องการล้างหน้าพร้อมกระชับรูขุมขนและยังช่วยลดความมันส่วนเกินได้ด้วยสูตร 4 กระชับรูขุมขนด้วยมะเขือเทศ
เป็นสูตรกระชับรูขุมขนแบบเย็นและอ่อนโยน โดยคั้นให้ได้น้ำมะเขือเทศสดพร้อม ดื่ม หั่นแตงกวาบางๆ แล้วบีบให้ได้น้ำแตงกวาลงไปในน้ำมะเขือเทศ คนให้เข้ากัน แล้วใช้สำลีทาให้ทั่วใบหน้า จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่นพอสมควร ควรใช้วันละหนึ่งครั้งเพื่อให้ได้ผลดี
สูตร 5 พอกหน้าด้วยมะเขือเทศ
โดยนำมะเขือเทศสดไร้สารตกค้างมาปั่นให้ละเอียด (หรือคั้นสดๆ ก็ได้ หากไม่มีเครื่องปั่นผลไม้) นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาทีล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ทำให้ใบหน้าแลดูสดใสเปล่งปลั่งขึ้นทันตา แต่สำหรับบางคนที่ไม่มีเวลาหรือขี้เกียจทำเองละก็ลองเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของมะเขือเทศมาใช้แทนก็ได้ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไทยโพสต์ ค่ะ
Top 10 ผักริมรั้วเพิ่มอายุยืน
ขอต้อนรับสู่บล็อคเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพและความสายความงามด้วยบทความที่เต็มไปด้วยสีเขียวชะอุ่มชุ่มชื่นด้วยผักใบเขียวที่หากินได้ง่าย และให้ประโยชน์มากมายเลยค่ะ
• ยอดมะม่วงหิมพานต์
• ใบส้มแป้น
• เสม็ดชุน
• ผักสะเดา
• ผักเหลียง
• ผักชีล้อม
• ผักหนาม
• ผักพูม
• ผักกระเฉด
ยิ่งเป็นผักตามฤดูกาล และปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี รับรองว่าให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายสูงค่ะ
Top 10 ผักริมรั้วเพิ่มอายุยืน
ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ใช้ค่า ORAC (Oxygen Radical Absorbance Capacity) เพื่อวัดความสามารถของผักในการขจัดฟรีแรดิคัล หากค่ายิ่งสูง แสดงว่ายิ่งมีประสิทธิภาพในการต้านฟรีแรดิคัลมาก ช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลาย และชะลอความเสื่อมของอวัยวะต่างๆภายในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุของความแก่
ครั้นย้อนมาดูในสวนบ้านเราก็พบสุดยอดผักไทยๆหลายชนิดที่ช่วยเพิ่มความเป็นหนุ่มเป็นสาว โดยสามารถเรียงลำดับตามค่า ORAC จากมากไปหาน้อยได้ดังนี้
• ใบมันปู
ครั้นย้อนมาดูในสวนบ้านเราก็พบสุดยอดผักไทยๆหลายชนิดที่ช่วยเพิ่มความเป็นหนุ่มเป็นสาว โดยสามารถเรียงลำดับตามค่า ORAC จากมากไปหาน้อยได้ดังนี้
• ใบมันปู
• ยอดมะม่วงหิมพานต์
• ใบส้มแป้น
• เสม็ดชุน
• ผักสะเดา
• ผักเหลียง
• ผักชีล้อม
• ผักหนาม
• ผักพูม
• ผักกระเฉด
ยิ่งเป็นผักตามฤดูกาล และปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี รับรองว่าให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายสูงค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจากนิตยสารชีวจิตฉบับที่ 326 ค่ะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)